Sunday, May 1, 2011

อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน


เซอร์ อเล็กซานเดอร์ “อเล็กซ์” แชปแมน เฟอร์กูสัน (อังกฤษ: Sir Alexander “Alex” Shapman Ferguson) ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งทำหน้าที่มายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรยุคใหม่ เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2484 


เริ่มคุมทีมต่อจาก รอน แอตกินสัน ในปี พ.ศ. 2529 ได้แชมป์เอฟเอคัพ เมื่อปี พ.ศ. 2533 เป็นถ้วยแรก และหลังจากนั้น ได้แชมป์เอฟเอ พรีเมียร์ลีกอีก 11 สมัย และแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกอีก 2 สมัย ต่อจากสมัยของ เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ในปี พ.ศ. 2511 หลังจากได้ถ้วยแชมเปียนส์ลีก ในปี พ.ศ. 2542 แล้ว เขาก็ได้รับการแต่งตั้ง จากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง แห่งสหราชอาณาจักร ให้เป็นอัศวิน หรือเซอร์ ของอังกฤษ


ประวัติ ครอบครัว 
ของ เซอร์อเล็กเฟอร์สัน เป็นลูกของ อเล็กซานเดอร์ บีตัน เฟอร์กูสัน (Alexander Beaton Ferguson) และ อลิซาเบท ฮาร์ดี้ (Elizabeth Hardie) มีน้องชายหนึ่งคน คือ มาร์ติน เฟอร์กูสัน ที่อ่อนกว่า 1 ปี เซอร์อเล็กเฟอร์กูสัน เกิดที่บ้านของย่า ของเค้า บนถนน ชิลล์ฮอล์ สกอตแลนด์ เฟอร์กูสันโตขึ้น ในเมืองกลาสโกว์ นี่เอง

 
เซอร์อเล็กเฟอร์กูสัน แต่งงานกับ แคร์ที เฟอร์กูสัน ในปี 1966 มีลูกด้วยกัน 3 คน คือ มาร์ค,ดาร์เรน และ เจสัน ซึ่ง ดาร์เรน เฟอร์กูสัน ก็เจริญรอยตามพ่อ โดยปัจจุบันได้ เป็นผู้จัดการทีม ปีเตอร์ สเบิร์ก เช่นกัน

 
การเริ่มชีวิตค้าแข้ง 
อเล็กซานเดอร์ แชปแมน เฟอร์กูสัน หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีม "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาก็เหมือน กับผู้จัดการทีมทั่วๆ ไป ที่มีจุดเริ่มต้นแบบธรรมดา ไม่หวือหวาอะไร เมื่อครั้งยังเด็กเขาถูกส่ง ไปเป็นลูกมือในอู่ต่อเรือ Clyde และได้ก้าวเข้าสู่วงการฟุตบอล


โดยเริ่มเล่น ฟุตบอลสมัคร เล่น กับทีม ควีนส์ พาร์ค เขาลงเล่นนัดแรกในลีกกับตำแหน่ง ศูนย์หน้าตัวกลาง ในดิวิชั่น 2 พบกับ สตรานเรอร์ ในปี 1957 แล้วย้ายไปเล่นกับ เซนต์ จอห์นสโตน เป็นการชั่วคราวในปี 1960 และเริ่มเล่นเป็นอาชีพเมื่อย้ายไปอยู่กับ ดันเฟิร์มลิน ในปี 1964 

  
ฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของเขาทั้งในลีกและ ในฟุตบอลระดับยุโรป ได้ดึงดูดความสนใจของ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ทีมโปรดของเขาในสมัยเด็ก และ 3 ปีหลังจากร่วมเล่นกับทีม ดันเฟิร์มลิน เขาก็ย้ายออกจากทีมด้วยค่าตัว 65,000 ปอนด์ เพื่อไปอยู่กับทีมบ้านเกิดของเขาคือ เรนเจอร์ส นั่นเอง


อย่างไรก็ดี ความใฝ่ฝันที่คิดไว้ในถิ่น ไอบร็อกซ์ สเตเดี้ยม กลับไม่เป็นอย่างที่หวังเอาไว้ เขาล้มเหลวในการเล่นให้กับทีมในฝันของเขา และถูกขายให้กับ ฟอลเคิร์ก ในปี 1969 ที่ซึ่งเขาได้เริ่มต้นชิมลางการเป็นโค้ชอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะย้ายไป เล่นกับ เอวายอาร์ ยูไนเต็ด ในปี 1973 แต่กลับกลายเป็นทางแยกให้กับอาชีพค้าแข้งของเขา


 จากความหลงใหลในธุรกิจฟุตบอล เมื่อเขาอายุได้ 32 ปี เขาก็ประกาศแขวนสตั๊ด และหันหน้าเข้ามาเริ่มเป็นผู้จัดการทีมกับ สโมสร อีสต์ สเตอร์ลิง ในเดือนกรกฎาคม 1974 แต่เป็นช่วงเวลาอันแสนสั้น เมื่อเขาตัดสินใจย้ายไปคุมทีม เซนต์ เมอร์เรน ในดิวิชั่น 1 ในเดือน ตุลาคม 


ปีเดียวกัน เขาประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรก เมื่อนำทีม คว้าถ้วยแชมป์ในปี 1976/77 แต่แทนที่คุมทีมต่อไปด้วยตัวผู้เล่นที่จำกัด อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กลับลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีม เนื่องจากมีการโต้เถียงเกิดขึ้น ระหว่างตัวเขาเองและประธานสโมสร

 
เขาลาออกจาก เซนต์ เมอร์เรน และมีหลายสโมสรใน สกอตแลนด์ ที่สนใจดึงเขามาคุมทีม แต่เขาเลือกที่จะไปอยู่กับ อเบอร์ดีน ในเดือนสิงหาคม ปี 1978 เขาได้สร้างทีมที่แข่งแกร่งขึ้นมาเท่าเทียมกับทีมใหญ่ๆอย่าง เรนเจอร์ส และ เซลติก ในช่วงเวลาที่แสนสั้น 

โดยส่งผลให้เขานำทีมคว้าแชมป์ สกอตติช พรีเมียร์ลีก ถึง 3 ครั้ง, สกอตติช คัพ 4 ครั้ง และ ลีก คัพ 1 ครั้ง ในยุค 80 แต่เหนือสิ่งอื่นใดชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาทำได้ ก็คือในปี 1983


เมื่อเขานำทัพขุนพล อเบอร์ดีน เอาชนะ เรียล มาดริด ได้ 2 - 1 ในศึก ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มีชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น เมื่อเขาได้เข้ามาคุมทีมชาติ สกอตแลนด์ ชั่วคราวในศึกฟุตบอลโลกที่ เม็กซิโก ในปี 1986 แทนที่ จ็อค สตีน ที่เสียชีวิตลง 

 
แล้วเขาก็ปฏิเสธข้อเสนอจาก บาร์เซโลน่า, อาร์เซนอล, เรนเจอร์ส และ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ส เพื่อเข้ามาคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อจาก รอน แอตกินสัน ในวันที่ 7 พฤศจิกายน ปี 1986

 
สถิติการคุมทีม

เคยคุมทีม : อเบอร์ดีน, เซนต์ เมอร์เรน, อีสต์ สเตอร์ลิง,แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เหรียญรางวัลที่เคยได้รับ

พรีเมียร์ชิพ : 1993, 1994, 1996, 1997, 1999, 2000, 2001, 2003 ,2007 ,2008
ลีก คัพ :1992, 2006, 2008
เอฟเอ แชร์ริตี้ ชิลด์ :1990, 1993, 1994, 1996, 1997, 2003 ,2007 ,2008
สกอตติช พรีเมียร์ ลีก : 1980, 1984, 1985
สกอตติช ดิวิชั่น 1 : 1977
สกอตติช เอฟเอ คัพ : 1982, 1983, 1984, 1986
สกอตติช ลีก คัพ : 1986
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก :1998-99 ,2007-2008
ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ : 1983, 1991
ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ : 1983, 1991
อินเตอร์ คอนติเนนทัล คลับ คัพ : 1999

ที่มา :www.reddevil.in.th

บารัค โอบามา


บารัค โอบามา (Barack Obama) เกิดเมื่อ 4 สิงหาคม 1961 เป็นนักการเมืองและวุฒิสมาชิกเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกันคนหนึ่งของสหรัฐ อเมริกา เขาจบการศึกษาด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด (Harvard) ทำงานเป็นนักกฎหมายด้านสิทธิพลเมือง (civil rights lawyer) ในเมืองชิคาโก (Chicago) และมาได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกาในปี 2004



บารัค โอบามามักกล่าวเชิงตลกอยู่บ่อยครั้งว่าผู้คนมักจะเรียกชื่อเขาอย่างผิดๆ ว่า “Alabama” บ้าง หรือในชื่อว่า “Yo Mama” บ้าง และครั้งหนึ่งสถานีโทรทัศน์ CNN ของสหรัฐฯ ต้องออกมากล่าวขอโทษเขาหลังจากที่ใส่ชื่อเขาอย่างผิดพลาดออกหน้าจอในระหว่าง การนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับนาย Osama Bin Laden ผู้นำกลุ่มก่อการร้ายอัล-เคดา



ชีวิตวัยเด็กของ โอบามา

บารัค โอบามา เกิดใน มลรัฐฮาวาย (Hawaii) ของสหรัฐอเมริกา เป็นลูกครึ่งระหว่างอเมริกัน-แอฟริกัน มีบิดาเป็นคนเคนยา แม่เป็นคนผิวขาวจากมลรัฐแคนซัส (Kansas) นามว่า Ann Dunham ซึ่งชื่อ บารัค โอบามา ของเขานี้ ก็เป็นชื่อเดียวกับชื่อของบิดาของเขาเช่นกัน บิดาของเขาเติบโตในเคนยา มีอาชีพเลี้ยงแพะ แต่สามารถได้รับทุนการศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยในมลรัฐอาวายของสหรัฐอเมริกา

 


บิดาของเขาได้มาพบกับมารดาของเขาในระหว่างที่เข้าศึกษาอยู่ในมลรัฐฮาวายนี้ โดยที่มารดาของเขาได้อาศัยอยู่กับครอบครัวที่เมืองโฮโนลูลู (Honolulu) ในมลรัฐฮาวายเช่นกัน

บิดากับมารดาได้แยกทางกันอยู่ต่อมาขณะที่เขาอายุได้เพียง 2 ขวบ และทั้งคู่ได้หย่ากันในที่สุด จากนั้น บิดาของเขาได้โอกาสเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาเวิร์ดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะกลับไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ด้านเศรษฐศาสตร์ของรัฐบาลที่เคนยาและประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตลงเมื่อปี 1982

 

 

ขณะที่มารดาของเขาได้แต่งงานใหม่กับชายชาวอินโดนีเซียเมื่อบารัค โอบามามีอายุได้ 6 ขวบ และได้ย้ายไปอยู่ที่กรุงจาการ์ตา (Jakarta) เมืองหลวงของอินโดนีเซีย และเด็กชายบารัค โอบามาได้อาศัยอยู่ในกรุงจาการ์ตาแห่งนี้เป็นเวลา 4 ปีก่อน แต่หลังจากนั้นได้กลับคืนมาอยู่กับตายายและเข้าโรงเรียนที่มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา 



การศึกษา

วัยหนุ่ม นายบารัค โอบามาได้รับการศึกษาขั้นสูงด้านรัฐศาสตร์ต่อมาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University) ในเมืองนิวยอร์ก จากนั้นได้ย้ายมาทำงานอยู่ในเมืองชิคาโกเป็นเวลา 3 ปีในบทบาทนักพัฒนาชุมชน (community organiser)

  


จากนั้นในปี 1988 เขาได้ออกจากงานดังกล่าวไปเข้าศึกษากฎหมายต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด (Harvard Law School) ในระหว่างนี้ เขาได้กลายมาเป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่ได้รับเลือกเป็นประธานวารสาร กฎหมายชื่อว่า Harvard Law Review ของมหาวิทยาลัย

 

หลังสำเร็จการศึกษาจากฮาร์เวิร์ดในปี 1991 ด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง (magna cum laude) บารัค โอบามาได้กลับคืนมาที่เมืองชิคาโก มาฝึกหัดงานด้านกฎหมายสิทธิพลเมือง (civil rights law) ช่วยเหลือคนที่ไม่ได้รับความเสมอภาคทางด้านที่อยู่อาศัยและการจ้างงาน นอกจากนี้ ยังทำงานบรรยายสอนหนังสือด้านกฎหมายอยู่ในมหาวิทยาลัยชิคาโกกระทั่งมาได้รับ เลือกตั้งเข้าสู่วุฒิสภาสหรัฐฯ ในปี 2004 

 


แต่งงาน

เขาแต่งงานกับนักกฎหมายเช่นเดียวกัน ภรรยาของเขา คือ Michelle Robinson โดยทั้งคู่พบกันในปี 1988 ขณะทำงานในสำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่งในเมืองชิคาโก และมาแต่งงานกันในปี 1992 มีบุตรสาวด้วยกัน 2 คน

 

 

บทบาททางการเมืองของโอบามา

บารัค โอบามาได้ขึ้นมามีบทบาททางการเมืองระดับชาติหลังชนะการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก แห่งสหรัฐฯ จากมลรัฐอิลลินอยส์ (Illinois) อย่างถล่มทลายในชื่อพรรคเดโมแครตในเดือนพฤศจิกายน 2004 บารัค โอบามาได้กลายมาเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนสหรัฐฯ และของโลก และเป็นวุฒิสมาชิกที่โดดเด่นคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ก่อนหน้านี้ในปี 1996 เขาได้ชนะเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกแห่งมลรัฐอิลลินอยส์นี้ (ไม่ใช่วุฒิสมาชิกแห่งสหรัฐฯ)

 


การกล่าวปราศรัยในที่ประชุมตัวแทนพรรคเดโมแครต (Democratic National Convention) ของเขาในปี 2004 ถือเป็นจุดที่สร้างความโดดเด่นทางการเมืองให้กับบารัค โอบามาทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ ก่อนที่เขาจะได้ชนะการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกาได้เป็นครั้งแรก ต่อมาดังกล่าว


โดยในฐานะวุฒิสมาชิกแห่งสหรัฐอเมริกา บารัค โอบามามีประวัติการลงมติออกเสียงอย่างมั่นคงในแนวทางเสรีนิยม (liberal) แต่เช่นกันได้เห็นด้วยร่วมงานกับทางฝั่งพรรครีพับลิกันในประเด็นเช่นว่าการ ให้การศึกษาและการป้องกันโรคเอดส์


บารัค โอบามากับผลงานหนังสือ

บารัค โอบามาแต่งหนังสือขายดี 2 เล่ม เล่มแรกชื่อว่า Dreams from My Father: A Story of Race and Inheritance พิมพ์หลังจบการศึกษากฎหมายและก่อนลงเล่นการเมือง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตตอนวัยเด็กในเมือง โฮโนลูลู (Honolulu) และเมืองจาการ์ตา (Jakarta) วัยศึกษาในเมือง Los Angeles และในเมือง New York City และอาชีพนักพัฒนาชุมชนในเมือง Chicago ในช่วงทศวรรษ 1980

เล่มที่สองมีชื่อว่า The Audacity of Hope: Thoughts on Reclaiming the American Dream พิมพ์ในเดือนตุลาคม 2006 ในช่วง 3 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2006 เป็นหนังสือที่ขายดีอย่างรวดเร็ว มีการแปลเป็นภาษาอิตาลีและพิมพ์ออกมาในเดือนเมษายน 2007 ภาษาสเปนและเยอรมันพิมพ์ออกมาในเดือนมิถุนายน 2007

ที่มา :www.wannapong.com

Saturday, April 30, 2011

มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก


มาร์ก เอลเลียต ซักเคอร์เบิร์ก

เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 ที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกันเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก เขาร่วมก่อตั้งเฟสบุ๊กร่วมกับเพื่อนอีก 3 คน ขณะกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นิตยสารไทม์ ได้ให้เขาเป็นบุคคลแห่งปี ค.ศ. 2010


สมัยเรียนไฮสผมล ซักเคอร์เบิร์กหัดเป็นโปรแกรมเมอร์ ตั้งแต่อยู่ ชั้น ป. ๖ เขากับเพื่อนสร้าง โปรแกรมสำหรับเรียนรู้นิสัยการฟังเพลงของผู้ใช้ Winamp และ MP3 และเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีทางอินเตอร์เน็ต (คนเก่ง ๆ มักเรียนรู้ในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เด็ก ตรงกันข้ามกับเด็กไทยบางคน สนใจแต่เล่นเกมส์ และมีแนวโน้มจะมากขึ้น - ผู้เขียน)

  


ซัคเกอร์เบิร์กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด หยุดเรียนไปกลางคัน และกลับมาลงทะเบียนเรียนอีกครั้งในปี ๒๕๔๙ ที่ฮาร์เวิร์ด ซัคเกอร์เบิร์กเริ่มต้นโครงการวิจัยหรือโปรเจ็กต์ชิ้นแรกกับเพื่อนร่วมห้อง Arie Hasit ชื่อของโปรเจ็กต์นี้คือ Coursematch เป็นบริการที่เปิดให้นักศึกษาสามารถดูรายชื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้


โปรเจ็กต์ต่อมาคือ Facemash.com เว็บไซต์โหวตรูปนักศึกษาฮาร์เวิร์ดว่าใครได้รับความนิยมชมชอบมากหรือน้อย แต่แล้วเมื่อโปรเจ็กต์นี้ให้บริการจริงบนโลกออนไลน์เพียง ๔ ชั่วโมง มหาวิทยาลัยก็ลงดาบระงับการใช้อินเทอร์เน็ตของซัคเกอร์เบิร์ก ด้วยข้อหาว่าโปรเจ็กต์นี้ของซัคเกอร์เบิร์กละเมิดนโยบายการใช้งานอินเทอร์ เน็ตที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ และเป็นภัยต่อระบบความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย


ซัคเกอร์เบิร์กคลอดบริการนาม Facebook จากห้องพักตัวเองในมหาวิทยาลัยด้วยฤกษ์วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ บางแหล่งข่าวระบุว่า ซัคเกอร์เบอร์เขียน โปรแกรม FaceBook ชุดดั้งเดิมในเวลาไม่ถึง ๒ สัปดาห์ คราวนี้ไม่ใช่บริการโหวตรูปหรือบริการแสดงรายชื่อเพื่อนร่วมชั้น แต่เป็นบริการที่ให้นักศึกษาสามารถโพสต์ข้อมูลของตัวเองได้เท่าที่ต้องการ 


Dustin Moskovitz ผู้ร่วมก่อตั้ง กับ Mark Zuckerberg

แน่นอนว่าเฟสบุ้กได้รับความนิยมถล่มทลายในฮาร์เวิร์ด นักศึกษาราว ๒ ใน ๓ แห่ลงทะเบียนใช้งานตั้งแต่ ๒ สัปดาห์แรกที่เปิดให้บริการ ต่อมา ซัคเกอร์เบิร์กและเพื่อน Dustin Moskovitz เริ่มขยายบริการเฟสบุ้กไปยัง มหาวิทยาลัยอื่น เช่น สแตนฟอร์ด โคลัมเบีย และเยล โดยราว ๔ เดือน สถานศึกษาที่ใช้บริการ Facebook มีจำนวนราว ๓๐ แห่ง เมื่ออะไรก็ไปได้สวย ซัคเกอร์เบิร์กตกลงใจเดินทางไป Palo Alto แคลิฟอร์เนียพร้อม Moskovitz  และกลุ่มเพื่อนช่วงฤดูร้อนปี ๒๕๔๗ ทั้งกลุ่มวางแผนกลับฮาร์เวิร์ดให้ทัน ฤดูใบไม้ร่วงแต่ก็เปลี่ยนใจอยู่ที่แคลิฟอร์เนียต่อไป และขาดเรียนที่ฮาร์เวิร์ดตั้งแต่นั้น
  



Facebook นั้น เป็นที่รู้จักในนามบริการออนไลน์ที่ทำให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนที่ อยู่ในสังคมเดียวกันแบบรวดเร็วทันใจ และเข้าถึง ทั้งข้อมูลแฟ้มภาพถ่ายเมื่อครั้งไปเที่ยว ภาพยนตร์ที่ชอบ และประวัติส่วนตัวทั่วไป ต่างจากเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์อื่นตรงที่ Facebook เป็นชุมชนในโลกที่มีตัวตนอยู่จริง ใช้ชื่อ Email เดียวกันและต้องการทำความรู้จักคนอื่น ๆ ในสังคมเดียวกัน ทั้งหมดนี้โดนใจชาวอเมริกันที่กระตือรือร้นอยากจะรู้จักคนอื่นในสังคมเดียว กันให้มากขึ้น


ซัคเกอร์เบิร์กได้พบกับ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้งบริการชำระเงินออนไลน์ PayPal ซึ่งให้ทุนก้อนแรกมา ๕ แสนเหรียญ สำนักงาน Facebook แห่งแรกจึงกำเนิดขึ้นที่ University Avenue ในตัวเมือง Palo Alto นับจาก นั้นไม่กี่เดือน ปัจจุบัน Facebook มีอาคารสำนักงานในเมือง Palo Alto จำนวน ๔ อาคาร ซึ่งซัคเกอร์เบิร์กเรียกว่า "urban campus" หรืออาณาจักรวิทยาลัย

 
จดหมายเปิดผนึกจาก Mark Zuckerberg เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๒ ที่น่าสนใจ เพื่อทราบแนวทางในการพัฒนา Facebook ในอนาคต



ลักษณะการทำงานของ Facebook 

Facebook เปิดตัวในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ โดย มาร์ก ซักเกอร์ เบิร์ก ซึ่งขณะนั้นเป็นนักศึกษาหนุ่มน้อยวัยแค่ ๒๐ ปี จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง "ฮาร์วาร์ด" เขาร่วมมือกับเพื่อนอีก ๒ คน คิดค้นสร้าง เครือข่ายภายในรั้วมหาวิทยาลัย โดยให้นักศึกษาที่สนใจสามารถเข้ามาอัพเดตและ แบ่งปันข้อมูลส่วนตัวและรูปภาพได้ จนได้รับความนิยมมากขึ้น จากภายในมหาวิทยาลัยกระจายสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำอื่น ๆ และขยายกลุ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีผู้สนใจจากทั่วโลกเข้าลงทะเบียนใช้งานมากกว่า ๒๔ ล้านคน เฉลี่ยมีผู้ลงทะเบียนใหม่กว่า ๑๐๐,๐๐๐ รายต่อวัน 


มีลิงก์จากเพื่อนส่งเข้ามาหาและถ้าตอบตกลง sign up เข้าไปก็จะเข้าไปอยู่ในเครือข่ายของ Facebook ทันที ขณะเดียวกันก็สามารถส่งลิงก์เชื้อเชิญเพื่อนคนอื่นให้เข้ากลุ่มเป็นลูกโซ่ ต่อไปได้ โดยใน Facebook จะมีการแบ่งปันข้อมูลประสบการณ์ของแต่ละคน อัพเดตรูปภาพที่ได้ไปเที่ยวกันมา พูดคุย ติดต่อ เมาท์ หรือแม้แต่เข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่นก็ได้
  

บางคนอาจคิดว่า Facebook เหมือนกับ My space เว็บไซต์เครือข่ายออนไลน์ที่ฮอตอยู่ในขณะนี้ แต่ Facebook มีมากกว่านั้น ความโดดเด่นของ Facebook คือผู้ใช้งานต้องใช้ชื่อจริงและอีเมล์เดียวกันในการลงทะเบียนและมีความต้อง การที่จะรู้จักคนอื่นที่มีตัวตนจริง ๆ บนโลกใบนี้


นักวิจัยจากสถาบันแห่งหนึ่งจากอังกฤษกล่าวว่า Facebook ยอดเยี่ยมกว่า My space เพราะเหมาะสำหรับ "เด็กดี" ขณะที่ My space เหมาะสำหรับ ขาร็อก ฮิปฮอป ศิลปิน หรือคนทำงาน


ความร้อนแรงของ Facebook 

ความร้อนแรง และความหอมหวานของ Facebook ทำให้บริษัทออนไลน์ยักษ์ใหญ่ ของโลกอย่าง Yahoo.com เสนอซื้อกิจการด้วยมูลค่าสูงลิ่วถึง $ ๑.๖ พันล้าน แต่ได้รับการปฏิเสธจาก Mark Zuckerberg ก่อนหน้านี้ 


เมื่อเร็ว ๆ นี้ยักษ์ใหญ่ Search Engine อย่าง Google ก็อยากได้ Facebook มาไว้ในครอบครอง ด้วยการยื่นข้อเสนอทุ่ม ๒.๖ พันล้านดอลล่าสหรัฐ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา แต่ดูท่าทีของ CEO Zuckerberg แล้ว ยังอยากเก็บหุ้นส่วน และบริษัทของตัวเองไว้มากกว่า



จากการทุ่มเสนอซื้อ Facebook ของ Google ครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าราคาสูงกว่า ที่เคยซื้อ Youtube มากทีเดียว ซึ่งเดิมที Google ได้ซื้อ Youtube มาด้วยราคา $ ๑.๖๕ พันล้าน



ขายหุ้นให้ไมโครซอฟท์ 

บิลล์ เกตส์ ผู้สร้างตำนานลาออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อมาก่อตั้งไมโครซอฟท์ เป็นนักลงทุนรายแรก ที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงิน ๒๔๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ แลกกับหุ้นเฟชบุ๊กเพียงแค่ ๑.๖ % เมื่อปลายปี ๒๕๕๐ ตั้งแต่เฟซบุ๊กให้บริการมาได้แค่ ๓ ปี และมีผู้ใช้บริการเพียง ๕๐ ล้านคน ขณะนั้น รายได้ของเฟซบุ๊กก็ยังไม่มากมายเท่าทุกวันนี้ โดยสามารถทำเงินเพียง ๑๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีสินทรัพย์รวมไม่ถึง ๒๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ


กระนั้น การตัดสินใจของไมโครซอฟท์หนุนส่งให้มูลค่าตลาดของเฟซบุ๊กเพิ่มขึ้นเป็น ๑,๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในชั่วข้ามคืน ช่วงเวลานั้น มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไมโครซอฟท์คงกินยาผิดถึงได้ตัดสินใจขี่ช้างจับตั้กแตนขนาดนั้น แต่นักวิเคราะห์ที่รู้จริงกลับเดาทางถูกว่า เงินแค่ ๒๔๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่ไมโครซอฟท์หมายมั่นปั้นมือ 


นั่นคือ การแลกกับสินทรัพย์มหาศาลที่มองไม่เห็นในงบดุล จากการเข้าถึงฐานลูกค้าจำนวนหลายสิบหลายร้อนล้านคนของ Facebook โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศ และลูกค้าในวัยหนุ่มสาว ซึ่งไมโครซอฟท์ยังเข้าไม่ถึง 


ขายหุ้นให้กับ DST สัญชาติรัสเซีย 


นอกจากนี้ ดีลประวัติศาสตร์อีกครั้งของ Facebook ก็คือตกลงขายหุ้นนิดหน่อยให้กับกลุ่มนักลงทุนอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ สัญชาติรัสเซีย "ดิจิตอล สกาย เทคโนโลยีส์" หรือ DST เพื่อแลกกับการเจาะตลาด Facebook ในแถบรัสเซีย และยุโรปตะวันออก ซึ่ง DST เป็นเจ้าของธุรกิจ และนายทุนใหญ่คุมตลาดอินเตอร์เน็ตทั้งภูมิภาคดังกล่าว


ดีลประวัติศาสตร์นี้ ตกลงกันสำเร็จเมื่อเดือน พฤษภาคม ปีที่แล้ว โดยฝ่ายนายทุนหมีขาวใจป้ำยินดีจ่ายเงิน ๒๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ แลกเปลี่ยนกับหุ้นบุริมสิทธิแค่ ๑.๙๖ % ของหุ้น Facebook ซึ่งขณะนั้นมีมูลค่ารวม ๑๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมรับปากว่าจะไม่มีตัวแทนในบอร์ดบริหารและไม่ก้าวก่ายเรื่องการบริหาร ซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญของ Facebook ตลอดมา


ชีวิตส่วนตัว ของ Mark Zuckerberg

ถึงแม้จะร่ำรวยทั้งเงินทองและชื่อเสียงชนิดหาตัวจับยาก แต่ทุก วันนี้ CEO หนุ่มแห่ง Facebook ยังคงใช้ชีวิตสมถะไม่แตกต่างจากเดิม เขาชอบสวมสเวตเตอร์เชิ้ตสีน้ำตาล กับกางเกงสแล็กสีกากีง่าย ๆ และรองเท้าแตะอาดิดาสคู่โปรด 


ยังคงเช่าอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ อยู่ใกล้ออฟฟิศทำงานย่าน พาโล อัลโต ซึ่งเป็นซิลิคอน วัลเลย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เหมือนเมื่อครั้งเริ่มก่อตั้ง Facebook ใหม่ ๆ ภายในห้องมีแค่ฟูกนอนราคาถูก โต๊ะทำงานตัวเดียวกับเก้าอี้สองตัว

 
ส่วนอาหารเช้าของมหาเศรษฐี ก็ยังเป็นซีเรียลใส่นมในชามกระดาษกับช้อนพลาสติก และใครจะเชื่อว่าเขายังขี่จักรยาน หรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวัน!


เห็นไหมครับว่า คนรวยระดับโลกตั้งแต่หนุ่ม โดยไม่โกงใคร ใช้เวลาสร้างตัวด้วยสมอง เพียง ๖ ปี เท่านั้นก็ยังมี แถมยังใช้ชีวิตสมถะ เช่าอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ อยู่ และขี่จักรยานหรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวันใน ทุกวันนี้ 

ที่มา :www.bbs.siamtalk.org