Saturday, April 30, 2011

มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก


มาร์ก เอลเลียต ซักเคอร์เบิร์ก

เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 ที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกันเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก เขาร่วมก่อตั้งเฟสบุ๊กร่วมกับเพื่อนอีก 3 คน ขณะกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นิตยสารไทม์ ได้ให้เขาเป็นบุคคลแห่งปี ค.ศ. 2010


สมัยเรียนไฮสผมล ซักเคอร์เบิร์กหัดเป็นโปรแกรมเมอร์ ตั้งแต่อยู่ ชั้น ป. ๖ เขากับเพื่อนสร้าง โปรแกรมสำหรับเรียนรู้นิสัยการฟังเพลงของผู้ใช้ Winamp และ MP3 และเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีทางอินเตอร์เน็ต (คนเก่ง ๆ มักเรียนรู้ในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เด็ก ตรงกันข้ามกับเด็กไทยบางคน สนใจแต่เล่นเกมส์ และมีแนวโน้มจะมากขึ้น - ผู้เขียน)

  


ซัคเกอร์เบิร์กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด หยุดเรียนไปกลางคัน และกลับมาลงทะเบียนเรียนอีกครั้งในปี ๒๕๔๙ ที่ฮาร์เวิร์ด ซัคเกอร์เบิร์กเริ่มต้นโครงการวิจัยหรือโปรเจ็กต์ชิ้นแรกกับเพื่อนร่วมห้อง Arie Hasit ชื่อของโปรเจ็กต์นี้คือ Coursematch เป็นบริการที่เปิดให้นักศึกษาสามารถดูรายชื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้


โปรเจ็กต์ต่อมาคือ Facemash.com เว็บไซต์โหวตรูปนักศึกษาฮาร์เวิร์ดว่าใครได้รับความนิยมชมชอบมากหรือน้อย แต่แล้วเมื่อโปรเจ็กต์นี้ให้บริการจริงบนโลกออนไลน์เพียง ๔ ชั่วโมง มหาวิทยาลัยก็ลงดาบระงับการใช้อินเทอร์เน็ตของซัคเกอร์เบิร์ก ด้วยข้อหาว่าโปรเจ็กต์นี้ของซัคเกอร์เบิร์กละเมิดนโยบายการใช้งานอินเทอร์ เน็ตที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ และเป็นภัยต่อระบบความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย


ซัคเกอร์เบิร์กคลอดบริการนาม Facebook จากห้องพักตัวเองในมหาวิทยาลัยด้วยฤกษ์วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ บางแหล่งข่าวระบุว่า ซัคเกอร์เบอร์เขียน โปรแกรม FaceBook ชุดดั้งเดิมในเวลาไม่ถึง ๒ สัปดาห์ คราวนี้ไม่ใช่บริการโหวตรูปหรือบริการแสดงรายชื่อเพื่อนร่วมชั้น แต่เป็นบริการที่ให้นักศึกษาสามารถโพสต์ข้อมูลของตัวเองได้เท่าที่ต้องการ 


Dustin Moskovitz ผู้ร่วมก่อตั้ง กับ Mark Zuckerberg

แน่นอนว่าเฟสบุ้กได้รับความนิยมถล่มทลายในฮาร์เวิร์ด นักศึกษาราว ๒ ใน ๓ แห่ลงทะเบียนใช้งานตั้งแต่ ๒ สัปดาห์แรกที่เปิดให้บริการ ต่อมา ซัคเกอร์เบิร์กและเพื่อน Dustin Moskovitz เริ่มขยายบริการเฟสบุ้กไปยัง มหาวิทยาลัยอื่น เช่น สแตนฟอร์ด โคลัมเบีย และเยล โดยราว ๔ เดือน สถานศึกษาที่ใช้บริการ Facebook มีจำนวนราว ๓๐ แห่ง เมื่ออะไรก็ไปได้สวย ซัคเกอร์เบิร์กตกลงใจเดินทางไป Palo Alto แคลิฟอร์เนียพร้อม Moskovitz  และกลุ่มเพื่อนช่วงฤดูร้อนปี ๒๕๔๗ ทั้งกลุ่มวางแผนกลับฮาร์เวิร์ดให้ทัน ฤดูใบไม้ร่วงแต่ก็เปลี่ยนใจอยู่ที่แคลิฟอร์เนียต่อไป และขาดเรียนที่ฮาร์เวิร์ดตั้งแต่นั้น
  



Facebook นั้น เป็นที่รู้จักในนามบริการออนไลน์ที่ทำให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนที่ อยู่ในสังคมเดียวกันแบบรวดเร็วทันใจ และเข้าถึง ทั้งข้อมูลแฟ้มภาพถ่ายเมื่อครั้งไปเที่ยว ภาพยนตร์ที่ชอบ และประวัติส่วนตัวทั่วไป ต่างจากเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์อื่นตรงที่ Facebook เป็นชุมชนในโลกที่มีตัวตนอยู่จริง ใช้ชื่อ Email เดียวกันและต้องการทำความรู้จักคนอื่น ๆ ในสังคมเดียวกัน ทั้งหมดนี้โดนใจชาวอเมริกันที่กระตือรือร้นอยากจะรู้จักคนอื่นในสังคมเดียว กันให้มากขึ้น


ซัคเกอร์เบิร์กได้พบกับ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้งบริการชำระเงินออนไลน์ PayPal ซึ่งให้ทุนก้อนแรกมา ๕ แสนเหรียญ สำนักงาน Facebook แห่งแรกจึงกำเนิดขึ้นที่ University Avenue ในตัวเมือง Palo Alto นับจาก นั้นไม่กี่เดือน ปัจจุบัน Facebook มีอาคารสำนักงานในเมือง Palo Alto จำนวน ๔ อาคาร ซึ่งซัคเกอร์เบิร์กเรียกว่า "urban campus" หรืออาณาจักรวิทยาลัย

 
จดหมายเปิดผนึกจาก Mark Zuckerberg เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๒ ที่น่าสนใจ เพื่อทราบแนวทางในการพัฒนา Facebook ในอนาคต



ลักษณะการทำงานของ Facebook 

Facebook เปิดตัวในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ โดย มาร์ก ซักเกอร์ เบิร์ก ซึ่งขณะนั้นเป็นนักศึกษาหนุ่มน้อยวัยแค่ ๒๐ ปี จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง "ฮาร์วาร์ด" เขาร่วมมือกับเพื่อนอีก ๒ คน คิดค้นสร้าง เครือข่ายภายในรั้วมหาวิทยาลัย โดยให้นักศึกษาที่สนใจสามารถเข้ามาอัพเดตและ แบ่งปันข้อมูลส่วนตัวและรูปภาพได้ จนได้รับความนิยมมากขึ้น จากภายในมหาวิทยาลัยกระจายสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำอื่น ๆ และขยายกลุ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีผู้สนใจจากทั่วโลกเข้าลงทะเบียนใช้งานมากกว่า ๒๔ ล้านคน เฉลี่ยมีผู้ลงทะเบียนใหม่กว่า ๑๐๐,๐๐๐ รายต่อวัน 


มีลิงก์จากเพื่อนส่งเข้ามาหาและถ้าตอบตกลง sign up เข้าไปก็จะเข้าไปอยู่ในเครือข่ายของ Facebook ทันที ขณะเดียวกันก็สามารถส่งลิงก์เชื้อเชิญเพื่อนคนอื่นให้เข้ากลุ่มเป็นลูกโซ่ ต่อไปได้ โดยใน Facebook จะมีการแบ่งปันข้อมูลประสบการณ์ของแต่ละคน อัพเดตรูปภาพที่ได้ไปเที่ยวกันมา พูดคุย ติดต่อ เมาท์ หรือแม้แต่เข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่นก็ได้
  

บางคนอาจคิดว่า Facebook เหมือนกับ My space เว็บไซต์เครือข่ายออนไลน์ที่ฮอตอยู่ในขณะนี้ แต่ Facebook มีมากกว่านั้น ความโดดเด่นของ Facebook คือผู้ใช้งานต้องใช้ชื่อจริงและอีเมล์เดียวกันในการลงทะเบียนและมีความต้อง การที่จะรู้จักคนอื่นที่มีตัวตนจริง ๆ บนโลกใบนี้


นักวิจัยจากสถาบันแห่งหนึ่งจากอังกฤษกล่าวว่า Facebook ยอดเยี่ยมกว่า My space เพราะเหมาะสำหรับ "เด็กดี" ขณะที่ My space เหมาะสำหรับ ขาร็อก ฮิปฮอป ศิลปิน หรือคนทำงาน


ความร้อนแรงของ Facebook 

ความร้อนแรง และความหอมหวานของ Facebook ทำให้บริษัทออนไลน์ยักษ์ใหญ่ ของโลกอย่าง Yahoo.com เสนอซื้อกิจการด้วยมูลค่าสูงลิ่วถึง $ ๑.๖ พันล้าน แต่ได้รับการปฏิเสธจาก Mark Zuckerberg ก่อนหน้านี้ 


เมื่อเร็ว ๆ นี้ยักษ์ใหญ่ Search Engine อย่าง Google ก็อยากได้ Facebook มาไว้ในครอบครอง ด้วยการยื่นข้อเสนอทุ่ม ๒.๖ พันล้านดอลล่าสหรัฐ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา แต่ดูท่าทีของ CEO Zuckerberg แล้ว ยังอยากเก็บหุ้นส่วน และบริษัทของตัวเองไว้มากกว่า



จากการทุ่มเสนอซื้อ Facebook ของ Google ครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าราคาสูงกว่า ที่เคยซื้อ Youtube มากทีเดียว ซึ่งเดิมที Google ได้ซื้อ Youtube มาด้วยราคา $ ๑.๖๕ พันล้าน



ขายหุ้นให้ไมโครซอฟท์ 

บิลล์ เกตส์ ผู้สร้างตำนานลาออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อมาก่อตั้งไมโครซอฟท์ เป็นนักลงทุนรายแรก ที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงิน ๒๔๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ แลกกับหุ้นเฟชบุ๊กเพียงแค่ ๑.๖ % เมื่อปลายปี ๒๕๕๐ ตั้งแต่เฟซบุ๊กให้บริการมาได้แค่ ๓ ปี และมีผู้ใช้บริการเพียง ๕๐ ล้านคน ขณะนั้น รายได้ของเฟซบุ๊กก็ยังไม่มากมายเท่าทุกวันนี้ โดยสามารถทำเงินเพียง ๑๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีสินทรัพย์รวมไม่ถึง ๒๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ


กระนั้น การตัดสินใจของไมโครซอฟท์หนุนส่งให้มูลค่าตลาดของเฟซบุ๊กเพิ่มขึ้นเป็น ๑,๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในชั่วข้ามคืน ช่วงเวลานั้น มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไมโครซอฟท์คงกินยาผิดถึงได้ตัดสินใจขี่ช้างจับตั้กแตนขนาดนั้น แต่นักวิเคราะห์ที่รู้จริงกลับเดาทางถูกว่า เงินแค่ ๒๔๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่ไมโครซอฟท์หมายมั่นปั้นมือ 


นั่นคือ การแลกกับสินทรัพย์มหาศาลที่มองไม่เห็นในงบดุล จากการเข้าถึงฐานลูกค้าจำนวนหลายสิบหลายร้อนล้านคนของ Facebook โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศ และลูกค้าในวัยหนุ่มสาว ซึ่งไมโครซอฟท์ยังเข้าไม่ถึง 


ขายหุ้นให้กับ DST สัญชาติรัสเซีย 


นอกจากนี้ ดีลประวัติศาสตร์อีกครั้งของ Facebook ก็คือตกลงขายหุ้นนิดหน่อยให้กับกลุ่มนักลงทุนอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ สัญชาติรัสเซีย "ดิจิตอล สกาย เทคโนโลยีส์" หรือ DST เพื่อแลกกับการเจาะตลาด Facebook ในแถบรัสเซีย และยุโรปตะวันออก ซึ่ง DST เป็นเจ้าของธุรกิจ และนายทุนใหญ่คุมตลาดอินเตอร์เน็ตทั้งภูมิภาคดังกล่าว


ดีลประวัติศาสตร์นี้ ตกลงกันสำเร็จเมื่อเดือน พฤษภาคม ปีที่แล้ว โดยฝ่ายนายทุนหมีขาวใจป้ำยินดีจ่ายเงิน ๒๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ แลกเปลี่ยนกับหุ้นบุริมสิทธิแค่ ๑.๙๖ % ของหุ้น Facebook ซึ่งขณะนั้นมีมูลค่ารวม ๑๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมรับปากว่าจะไม่มีตัวแทนในบอร์ดบริหารและไม่ก้าวก่ายเรื่องการบริหาร ซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญของ Facebook ตลอดมา


ชีวิตส่วนตัว ของ Mark Zuckerberg

ถึงแม้จะร่ำรวยทั้งเงินทองและชื่อเสียงชนิดหาตัวจับยาก แต่ทุก วันนี้ CEO หนุ่มแห่ง Facebook ยังคงใช้ชีวิตสมถะไม่แตกต่างจากเดิม เขาชอบสวมสเวตเตอร์เชิ้ตสีน้ำตาล กับกางเกงสแล็กสีกากีง่าย ๆ และรองเท้าแตะอาดิดาสคู่โปรด 


ยังคงเช่าอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ อยู่ใกล้ออฟฟิศทำงานย่าน พาโล อัลโต ซึ่งเป็นซิลิคอน วัลเลย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เหมือนเมื่อครั้งเริ่มก่อตั้ง Facebook ใหม่ ๆ ภายในห้องมีแค่ฟูกนอนราคาถูก โต๊ะทำงานตัวเดียวกับเก้าอี้สองตัว

 
ส่วนอาหารเช้าของมหาเศรษฐี ก็ยังเป็นซีเรียลใส่นมในชามกระดาษกับช้อนพลาสติก และใครจะเชื่อว่าเขายังขี่จักรยาน หรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวัน!


เห็นไหมครับว่า คนรวยระดับโลกตั้งแต่หนุ่ม โดยไม่โกงใคร ใช้เวลาสร้างตัวด้วยสมอง เพียง ๖ ปี เท่านั้นก็ยังมี แถมยังใช้ชีวิตสมถะ เช่าอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ อยู่ และขี่จักรยานหรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวันใน ทุกวันนี้ 

ที่มา :www.bbs.siamtalk.org 

มูฮัมหมัด กัดดาฟี



มูอัมมาร์ มูฮัมมัด อัล-กัดดาฟี 

เป็นผู้นำประเทศลิเบียโดยพฤตินัยในปัจจุบัน หลังจากการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2512 เขาได้รับการขนานนามในเอกสารทางการและสื่อของรัฐว่า "ผู้ชี้นำการมหาปฏิวัติวันที่ 1 กันยายน แห่งมหาสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาชนอาหรับลิเบีย" ("Guide of the First of September Great Revolution of the Socialist People's Libyan Arab Jamahiriya") หรือ "ภราดาผู้นำและผู้ชี้ทางแห่งการปฏิวัติ" ("Brotherly Leader and Guide of the Revolution") นับตั้งแต่การลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของตนเองในปี พ.ศ. 2515 ปัจจุบันกัดดาฟีเป็นผู้นำประเทศที่ไม่ใช่กษัตริย์ที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุดในโลกหลังการเสียชีวิตของนายโอมาร์ บองโก ประธานาธิบดีแห่งประเทศกาบองในปี พ.ศ. 2553 และยังเป็นผู้นำลิเบียที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ลิเบียตกเป็นมณฑลหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมันเมื่อ พ.ศ. 2094


ลิเบีย เป็นประเทศที่ปกครองอยู่ในรูปแบบของอัตตาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบ มีความเด็ดขาดทางการเมืองและมีกัดดาฟี่เป็นผู้นำ ประวัติชีวิตของกัดดาฟีสอดคล้องกับประวัติศาสตร์ของลิเบียความเป็นมาของลิเบียยุคใหม่ก็คือความเป็นมาของกัดดาฟี เขามีพ่อเป็นชาวอาหรับเผ่าเบดูอิน ตระกูลของเขานับตั้งแต่ปู่เคยต่อสู้กับทหารอิตาเลียนที่เข้ามายึดครองลิเบียอย่างกล้าหาญ ตัวตนของเขาจึงสืบสายเลือดชาตินิยมอาหรับอย่างแท้จริง


กัดดาฟีมีความ สนใจทางการเมืองมาตั้งแต่เด็ก เขาเคยเดินขบวนนัดหยุดเรียนจนถูกไล่ออกจากโรงเรียน และต้องจ้างครูมาสอนที่บ้านแทน และเมื่ออายุ 19 ปีก็สามารถที่จะสอบเข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยที่เบงกาซี เมื่อเป็นนักเรียนนายร้อยความคิดเรื่องชาตินิยมอาหรับของเขาก็ถูกเผยแพร่แก่เพื่อนนายทหารด้วยกัน เริ่มมีการจัดตั้งขบวนการนายทหารเสรีในวัยหนุ่มเพื่อปฏิวัติโค่นราชบัลลังก์ฟารุคที่ปกครองลิเบียในขณะนั้น 

 
หลังจากได้ เป็นนายทหารในกองทัพบก เขาก็เริ่มปฏิบัติการลับใต้ดินโดยการติดต่อกับเพื่อนนายทหารวัยหนุ่ม เพื่อร่วมวางแผนปฏิวัติ โดยเพื่อนนายทหารและตัวกัดดาฟีเองล้วนใช้ชีวิตมัธยัสถ์อดออม เคร่งศาสนาเยี่ยงมุสลิมที่ดี ความจริงลิเบียเป็นขุมทรัพย์ที่ถูกโลกตะวันตกค้นพบในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งกลายแหล่งดึงดูดชาติ 


ตะวันตก ได้มีการค้นพบบ่อน้ำมัน ซึ่งเป็นขุมทรัพย์ที่ทำให้ชั้นปกครองของลิเบียร่ำรวยมหาศาล บริษัทต่างประเทศเข้ามาขอสัมปทานน้ำมันกอบโกยผลประโยชน์กันอย่างเต็มที่ ความมั่งคั่งของชนชั้นปกครองกลับตรงกันข้ามกับความอดอยากยากจนของพลเมืองลิเบีย ทั้งหมดเป็นแรงดลใจให้กัดดาฟีและคณะนายทหารของเขาไม่อาจจะทนรอได้อีกต่อไป

 
วันที่ 1 กันยายน ปี ค.ศ.1969 ขณะที่กษัตริย์ไอดริสเสด็จออกไปนอกประเทศ นายทหารผู้ใหญ่ของกองทัพบกได้เชิญนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มากินเลี้ยงกันเป็นการใหญ่ ดึกคืนนั้นคณะปฏิวัติเคลื่อนกำลังเข้าจู่โจมจับกุมตัวนายทหารและนายตำรวจเหล่านั้น จากนั้นก็แยกย้ายกันเข้ายึดเมืองตริโปลีและเบงกาซี โดยใช้รถถังและรถเกาะเข้ายึดสถานีวิทยุ ที่ทำการไปรษณีย์ และสถานที่สำคัญ ตลอดจนค่ายทหารที่อาเซียและพระราชวังด้วย 


นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมากองทัพบกและตำรวจก็อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาการของกัดดาฟี เพื่อสะดวกแก่การบังคับบัญชาของเขา จึงได้เลื่อนยศตนเองเป็นนายพันเอก และดำรงตำแหน่งประมุขสูงสุดของสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาชนอาหรับลิเบีย และเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด รวมทั้งตำแหน่งประธานสภาปฏิวัติด้วย สิ่งแรกที่คณะปฏิวัติดำเนินการก็คือไม่ยินยอมให้สหรัฐฯ และอังกฤษตั้งฐานทัพในลิเบียอีกต่อไป มหาอำนาจทั้งสองจึงต้องถอนกำลังออกทั้งหมด และภายหลังการถอนทหารของมหาอำนากัดดาฟีก็ได้ดำเนินนโยบายขึ้นราคาค่าการจัด เก็บน้ำมันขึ้นมาอีก 120% จากนั้นก็ให้โอนมาเป็นของรัฐทั้งหมด ยังผลให้ลิเบียเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดประเทศหนึ่งในตะวันออกกลาง 


เป็นประเทศที่ ถือได้ว่าร่ำรวยที่สุดบนพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างแอฟริกาตอนเหนือกับตะวันออก กลาง มีรายได้ประชากรต่อหัวสูงที่สุดและมีทรัพยากรธรรมชาติมากมายทั้ง น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และแร่ยิปซั่ม ที่สามารถส่งออกไปขายได้อีกหลายสิบปี ประเทศเพื่อนบ้านของลิเบีย เช่น อียิปต์ ตูนีเซีย และโมร็อกโก ได้ส่งคนไปทำงานในลิเบียเป็นจำนวนหลายแสนคน


แต่ด้วยความ เด็ดขาดของนโยบาย ลิเบียได้ถูกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติคว่ำบาตรในฐานะที่มีส่วนร่วม กับขบวนการก่อการร้าย เป็นอุปสรรคต่อการค้าและความร่วมมือกับต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ทางการลิเบียยินยอมมอบตัวผู้ต้องสงสัยในคดีระเบิดเครื่องบิน Pan Am เหนือเมือง Lockerbie ในสกอตแลนด์ ลิเบียก็เริ่มได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ


ว่ากันว่าใน สายตาของชาวลิเบียและชาวอาหรับ กัดดาฟีเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ผู้สืบทอดอุดมการณ์ชาตินิยมอาหรับจากนัสเซอร์ผู้นำของชาวอียิปต์ แต่ในสายตาของโลกตะวันตกโดยเฉพาะรัฐบาลอเมริกา เขาคือปีศาจร้ายที่ต้องทำลายให้สิ้น ว่ากันว่าเขาคือผู้อยู่เบื้องหลังพวกก่อการร้ายชาวอาหรับจำนวนมาก  


ปัจจุบัน ลิเบียมีรูปแบบทางการปกครองที่ประกอบไปด้วยสถาบันที่สำคัญทางการเมือง คือสภาประชาชนทั่วไป ทำหน้าที่กำหนดนโยบายและออกกฎหมาย ซึ่งได้ปรับโครงสร้างใหม่โดยการยุบ General People’s Committee ซึ่งเป็นองค์กรส่วนกลางมีบทบาททำนองเดียวกับกระทรวงที่รับผิดชอบงานต่างๆ และมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารให้มีการกระจายอำนาจออกไปในระดับท้องถิ่น 

  
อย่างไรก็ตามกิจการที่สำคัญ เช่นกิจการน้ำมัน ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของกัดดาฟี จนถึงวันนี้เมื่อรู้ตัวว่าไม่มีทางที่จะโค่นกัดดาฟีลงได้ มหาอำนาจชาติตะวันตกจึงเปลี่ยนนโยบายหันมาพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ถึงแม้ว่าจะมีความพยายามของโลกตะวันตกที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับกัดดาฟี ลิเบียก็ยังคงเป็นลิเบีย ความแข็งกร้าวและ เด็ดขาดก็ยังคงอยู่ 


เมื่อรัฐบาลลิเบียได้จับกุมแพทย์และพยาบาลต่างชาติ 6 คน ส่งตัวดำเนินคดีในข้อหาทำให้เด็กหลายร้อยคนติดเชื้อเอชไอวี โดยที่ศาลสูงของลิเบียได้ตัดสินประหารชีวิตทั้งหมด ได้สร้างความไม่พอใจให้กับสหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก นับว่าเป็นความเด็ดขาดที่ท้าทายประชาคมโลกอีกครั้งของลิเบีย 

ที่มา:www.thaimuslim.com  

Friday, April 29, 2011

เดวิด เบ็คแฮม

  
เดวิด โรเบิร์ต โจเซฟ เบ็คแฮม (David Robert Joseph Beckham) เกิดวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1975 เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ปัจจุบันมีสัญญาอยู่กับสโมสรแอลเอแกแล็คซี่ในอเมริกา แต่ทีมเอซี มิลานยืมตัวมาเป็นฤดูกาลที่สองแล้ว  และเป็นกัปตันของทีมชาติอังกฤษตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 ถึง 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2006


เบ็คแฮมเป็นนักเตะ หนึ่งในสี่คนที่เล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกมากกว่า 100 นัด เขายังเป็นนักเตะที่เล่นให้ทีมชาติอังกฤษ 94 ครั้ง มากที่สุดเป็นอันดับ 5 (ก.ค. 49) และเป็นคนอังกฤษเพียงคนเดียวที่ทำประตูได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 3 ครั้ง ใน ฟุตบอลโลก 1998 2002 และ 2006 รวมทั้งหมด 17 ประตู ชื่อเสียงของเบ็คแฮมนอกสนามแข่งนั้นโด่งดังกว่าในสนามมาก เฉพาะในสหราชอาณาจักรแล้ว ชื่อเบ็คแฮมเทียบได้กับแบรนด์อย่างโค้กหรือไอบีเอ็มเลยทีเดียว เบ็คแฮมได้รับเครื่องราชเป็นนายทหารแห่งจักรวรรดิบริเตน (Officer of the British Empire) จากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2




แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

เบ็คแฮมเกิดในเมือง ลีย์ตันสโตน ในกรุงลอนดอน โดยพ่อของเขา เท็ด เบ็คแฮม เป็นแฟนของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และเดินทางไปดูการแข่งขันที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดอยู่เสมอ เบ็คแฮมจึงได้เข้าเป็นนักเตะฝึกหัดของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 


เมื่อผู้เล่นชุดใหญ่ของสโมสรออกจาก ทีมไปเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 94-95 ผู้จัดการทีมอเล็กซ์ เฟอร์กูสันจึงนำนักเตะจากทีมเยาวชนขึ้นมาเล่น เดวิด เบ็คแฮมเป็นหนึ่งในนักเตะเหล่านั้น เบ็คแฮมสามารถทำประตูได้ในนัดแรกของฤดูกาล (ชนะ เวสต์แฮม 3-1) และได้เป็นตัวจริงถาวรนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฤดูกาลแรกของเบ็คแฮมนั้นชนะเลิศทั้งพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ


ชื่อเสียงของเบ็คแฮมเริ่มโด่งดังขึ้น ในเดือนสิงหาคม 1996 เมื่อเขายิงลูกจากครึ่งสนามเข้าในนัดที่พบกับวิมเบิลดัน เขาติดทีมชาติอังกฤษนัดแรกวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1996 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกที่อังกฤษพบกับมอลโดวา ในฤดูกาลนี้เขายังได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอซึ่งโหวต โดยผู้เล่นในพรีเมียร์ลีก


ฟุตบอลโลก 1998

เบ็คแฮมได้เล่นในรอบคัดเลือกของ ฟุตบอลโลก 1998ครบทุกนัด แต่ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศฝรั่งเศส ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเกล็น ฮ็อดเดิลได้วิจารณ์ว่าเขาไม่มีสมาธิกับเกมฟุตบอล ทำให้เบ็คแฮมไม่ได้ลงเล่นใน 2 นัดแรก เขากลับมาลงสนามอีกครั้งในนัดที่อังกฤษชนะโคลัมเบีย 2-0 และทำประดูได้



เบ็คแฮมกลายเป็นตัวร้ายของทีมชาติ เมื่อได้รับใบแดงจากการทำฟาล์วนอกเกมกับดิเอโก ซิโมเน นักเตะทีมชาติอาร์เจนตินาในการแข่งขันรอบที่สอง การแข่งขันนัดนั้นเสมอกันและอังกฤษแพ้ในการยิงจุดโทษ สื่อมวลชนอังกฤษจึงกล่าวหาว่าเขาเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้ในนัดนี้


  
ฤดูกาลทริปเปิลแชมป์ (1998-1999)

สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จสูงสุดในฤดูกาล 1998-1999 เมื่อสามารถคว้าแชมป์รายการสำคัญได้ถึง 3 รายการ คือ พรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก โดยเบ็คแฮมมีส่วนร่วมอย่างมากในการทำประตูการแข่งขันนัดสำคัญ ผลจากการเล่นที่มีประสิทธิภาพในฤดูกาลนี้ทำให้แฟนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดให้ อภัยความผิดพลาดในฟุตบอลโลก และคอยปกป้องเบ็คแฮมจากแฟนชาวอังกฤษของสโมสรอื่นที่ยังโจมตีเบ็คแฮมอยู่

เมื่อ ชื่อเสียงของเบ็คแฮมนอกสนามเริ่มโด่งดัง เขาเริ่มมีปัญหากับผู้จัดการทีมอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งมองว่าวิคตอเรีย เบ็คแฮม ภรรยาของเขามีส่วนต่อพฤติกรรมแย่นอกสนาม ซึ่งทำให้เบ็คแฮมไม่มีสมาธิกับการแข่งขันเท่าที่ควร


เบ็คแฮมเริ่มกลับมาเอาชนะใจแฟนฟุตบอล อังกฤษได้อีกครั้ง เมื่อผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเควิน คีแกน ลาออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2000 ปีเตอร์ เทย์เลอร์ ผู้จัดการชั่วคราวในขณะนั้นมอบตำแหน่งกัปตันทีมให้กับเบ็คแฮม และสืบต่อมาถึงช่วงของ สเวน โกรัน อีริคสัน ผู้จัดการคนถัดมา เบ็คแฮมมีบทบาทอย่างมากในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2002 โดยเฉพาะนัดที่เอาชนะทีมชาติเยอรมนี 5-1 และตีเสมอให้อังกฤษ 2-2 ในนัดที่เจอกับทีมชาติกรีซ ซึ่งทำให้อังกฤษเข้ารอบสุดท้ายในที่สุด
 

ฟุตบอลโลก 2002

เบ็คแฮมได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขันยู ฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกกับสโมสรฟุตบอลดีปอร์ติโว ลา คอรุญญ่า ในเดือนเมษายน 2002 จึงหมดสิทธิ์เล่นทั้งฤดูกาล แต่เขาหายทันการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วม เขาทำประตูชัยในนัดที่พบกับอาร์เจนตินา แต่สุดท้ายอังกฤษแพ้ให้กับบราซิลในการแข่งขันรอบถัดมา


เบ็คแฮมได้รับบาดเจ็บอีกครั้งต้น ฤดูกาล 2002-03 และเริ่มเสียตำแหน่งตัวจริงในทีม ความสัมพันธ์ของเขากับเฟอร์กูสันถึงจุดแตกหัก เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 หลังการแข่งขันที่แพ้ให้กับสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล ในห้องแต่งตัว เฟอร์กูสันได้เตะรองเท้าสตั๊ดไปโดนบริเวณเหนือคิ้วของเบ็คแฮมจนได้รับบาด เจ็บ เหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นในการย้ายทีมของเบ็คแฮมเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล
             เบ็คแฮมลงสนามกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทั้งหมด 394 นัด ทำได้ 85 ประตู


 เรอัล มาดริด

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต้องการขาย เบ็คแฮมให้กับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา แต่เบ็คแฮมกลับเซ็นสัญญา 4 ปีกับสโมสรฟุตบอลรีลมาดริดด้วยค่าตัวประมาณ 35 ล้านยูโร การย้ายทีมครั้งนี้ถูกวิจารณ์ว่ารีลมาดริดต้องการซื้อความเป็นดาราของเบ็ค แฮมเพื่อหวังรายได้จากการขายสินค้า มากกว่าต้องการตัวเบ็คแฮมจากฝีมือการเล่นฟุตบอล ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเสื้อของเบ็คแฮมนั้นขายหมดทันทีในวันแรกที่เขาย้ายมา ยังมาดริด
            เมื่อเล่นกับแมน เชสเตอร์ยูไนเต็ด เบ็คแฮมใส่เสื้อหมายเลข 7 แต่เมื่อย้ายมามาดริด หมายเลข 7 ถูกครอบครองโดยราอูล กอนซาเลซดาวยิงชาวสเปนอยู่แล้ว เบ็คแฮมจึงเปลี่ยนไปใส่หมายเลข 23 โดยให้เหตุผลว่าเขาเป็นแฟนของไมเคิล จอร์แดน นักบาสเก็ตบอลชื่อดัง


ฤดูกาลแรกของเบ็คแฮมที่มาดริด เริ่มต้นได้ค่อนข้างดี แต่มาดริดไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆ ได้เมื่อจบฤดูกาล เบ็คแฮมตกเป็นข่าวอื้อฉาวว่ามีความสัมพันธ์กับอดีตผู้ช่วย และนางแบบชาวออสเตรเลีย เบ็คแฮมได้ปฏิเสธข่าวเหล่านี้ ปีนั้นเขายังได้ลงแข่งขันยูโร 2004 และยิงลูกโทษพลาด ทำให้อังกฤษแพ้โปรตุเกสในรอบสี่ทีมสุดท้าย
            ฤดูกาล 2007/08 ถึงจุดเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเบ็คแฮม จากการเข้ามาคุมทีมของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ซึ่งไม่เห็นค่าของเบ็คแฮมเท่าไหร่นัก เขาจับเบ็คแฮมเป็นตัวสำรอง หลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งจุดเปลี่ยนแปลงที่เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกก็เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2007 เบ็คแฮมได้ประกาศ เซ็นสัญญาย้ายไปร่วมทีม "แอลเอ แกแล็คซี่" หลังจบฤดูกาล 2007!!!


 มีข่าวต่างๆออกมามากมายในกรณีดัง กล่าว ซึ่งก่อนหน้านั้น ทางมาดริดได้เสนอสัญญา 2 ปี ให้กับเบ็คแฮม แต่เจ้าตัวต้องการสัญญาระยะยาวกว่านั้น ซึ่งจนแล้วจนรอดก็ไม่มีสัญญาฉบับใหม่มายื่นให้บักเบ็คเซ็น จนเป็นผลให้จอมวางบอล ย้ายไปรับทรัพย์มาหาศาลจากสัญญา 5 ปี ของทีมของเมเจอร์ลีก แทน


จากกรณีดังกล่าว ทำให้คาเปลโล่ ประกาศตัดเบคแฮมออกจากทีม และไม่ให้ลงเล่นอีกต่อไป แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เบคแฮมเลิกล้มช่วงเวลาที่เหลือ กับทีมชุดขาวแต่อย่างใด เขายังคงมาซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมเป็นปกติ จนกระทั่ง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทีมราชัน ฟอร์มบู่เป็นอย่างมาก มีเสียงเรียกร้องจากแฟนๆ ให้ส่งเทพบุตรสุดหล่อ ลงมาเปิดเกมส์ทางกราบขวาเหมือนเป็นปกติ จนในที่สุด เบคแฮมก็ได้กลับมาลงเล่นอีกจนได้ ซึ่ง ณ ขณะนั้น บักเบคโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมมาก จ่ายใส่พานให้คนอื่นทำประตูสุดสวยหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งเรอัล มาดริด คว้าแชมป์ลาลีกา ไปครองในที่สุด ซึ่งคาเปลโล่ ถึงกลับมาให้สัมภาษณ์เลยว่า "ผมเสียใจจริงๆที่เราไม่ยื่นสัญญาในระยะเวลาอย่างที่เขาต้องการ"

แอลเอ แกแล็คซี่

เบ็ค เปิดตัวในฐานะนักเตะแอลเอ ที่โฮม ดีโป เซ็นเตอร์ สนามของทีม โดยเบ็คเลือกใส่หมายเลข 32 ซึ่งในวันเปิดตัวนั้น มีแฟนบอลมาต้อนรับมากมายถึง 250,000 คนเลยทีเดียว
           เบ็คแฮม ลงสนามเล่นแมทช์แรกกับทีม เชลซี ในแมทช์อุ่นเครื่อง ซึ่งทีมแพ้ไป 0-1 และลงเล่นในลีกแมทช์แรกเจอกับทีม ดีซี ยูไนเต็ด ซึ่งสามารถจ่ายบอลให้ แลนดอน โดโนแวน ยิงได้ด้วย และพาทีมเอาชนะไป 2-0 



 และในแมทช์ที่แข่งศึกซูเปอร์ลีกา(ยู ฟ่าแชมเปี้ยน ของอเมริกาใต้) เจอกับทีมพาชูร่า ของเม็กซิโก เบ็คแฮมได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่า ส่งผลให้เขาพักยาวถึง 6 สัปดาห์เลยทีเดียว ซึ่งกว่าจะกลับมาเล่นได้ก็แทบจบฤดูกาลแล้ว สรุปในฤดูกาลแรกกับทีมแอลเอ เบ็คแฮมได้ลงทั้งสิ้น 8 นัด ( 5 นัดในลีก) และทำได้ 1 ประตู (0 ในลีก) เล่นเอาแฟนๆถึงกับทำป้ายบอกเลยว่า "กุซื้อแฮรี่มาอ่านยังจะถูกกว่าคุ้มกว่าอีก"


ช่วงปิดฤดูกาล เบ็คแฮมสร้างความฮือฮาด้วยการมาซ้อมบอล กับทีมอาร์เซนอล ซึ่งถือเป็นข่าวครึกโครมในช่วงนั้นเลยทีเดียว
           สำหรับลูกแรกที่ทำได้ในเมเจอร์ลีกนั้น เป็นการเจอกับทีม ซาน โจเซ่ เอิร์ธเควกเกส โดยเบ็คทำได้ในนาทีที่ 9
           และวันที่ 24 พฤษภาคม 2008 เบ็คแฮมก็สร้างตำนานการยิงไกลร่วมครึ่งสนามอีกครั้ง ในแมทช์เจอกับแคนซัสซิตี้ วิซาร์ด ซึ่งยิงไกลในระยะร่วม 70 หลา


 แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อจบฤดูกาล ทีมก็ไม่ได้สิทธิอะไรเลย จบฤดูกาลแบบมือเปล่า ซึ่งหลังจากความหวังที่จะช่วยกอบกู้ชื่อเสียงของทีม กลับไม่ประสบความสำเร็จใน 2 ฤดูกาลที่อยู่กับทีม ทำให้ช่วงปิดฤดูกาลที่ 2 เบ็คแฮมเลยตัดสินใจ...


มามิลานแบบยืมตัว
ช่วงปี 2008 เบ็คแฮมซึ่งกลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง เพราะโค้ชฟาบิโอ คาเปลโล ซึ่งเคยคุมทีมเรอัล มาดริด สมัยที่ยังมีเบ็คแฮมอยู่กับทีม ในเล็งเห็นศักยภาพการเปิดบอลใส่พานของเขา และเรียกตัวกลับมาติดทีมชาติ ซึ่งก็ทำผลงานในบอลโลกรอบคัดเลือกได้เป็นอย่างดี ซึ่งการที่ฟอร์มของเขายังดีอยู่ ทำให้ยอดทีมจากอิตาลี เอซี มิลาน อยากได้ความสามารถของเขามาช่วยทีม จึงอาศัยช่วงที่ปิดฤดูกาลของอเมริกา ยืมตัวเบ็คแฮมมาใช้งาน ซึ่งทางแอลเอก็ได้ตอบตกลงอย่าง่ายดาย ด้วยเหตุผลที่ว่า ทีมปีศาจแดงดำจะสามารถเรียกความสามารถระดับท๊อปฟอร์มของเบ็คแฮมกลับมาได้ ซึ่งเบ็คก็ไม่รอช้า รีบบินมาเล่นให้ในทันที


เบ็คแฮม ลงเล่นอย่างเป็นทางการให้กับเอซี มิลาน ในแมทช์ที่เสมอกับโรม่า 2-2 เบ็คยิงได้ลูกแรกในเซเรีย อาร์ ในนัดถล่มโบโลญญ่า 4-1 ซึ่งเป็นการลงสนามนัดที่สามของเขา ซึ่งพอโชว์ฟอร์มได้ดีกับทีมปีศาจ เบ็คแฮมก็แสดงอาการ ไม่อยากกลับไปเล่นในลีกที่ระดับต่ำกว่ามาตรฐานของตัวเองอย่างเมเจอร์ลีก ทันที เขาแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่า อยากอยู่กับมิลาน ต่อไป ซึ่งทีมมิลาน ก็ได้ยื่นข้อเสนออยู่หลายครั้ง ซึ่งครั้งสุดท้ายมีมูลค่าสูงสุดที่ 10.5 ล้านปอนด์ แต่เงินแค่นี้ ทีมเศรษฐีจากอเมริกาไม่ยอมขายอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาเล่นให้กับแอลเอ ต่อไป



 ฟุตบอลโลก 2006

เบ็คแฮมมีส่วนในการทำประตูในรอบแรก ของฟุตบอลโลก 2006 และยิงได้ในนัดที่พบกับเอกวาดอร์ในรอบที่สอง ทำให้เขาเป็นผู้เล่นอังกฤษคนแรกที่ทำประตูได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 3 ครั้ง อย่างไรก็ตามในการแข่งขันกับโปรตุเกสในรอบถัดมา เบ็คแฮมบาดเจ็บจนถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง และอังกฤษแพ้จุดโทษให้กับโปรตุเกสอีกครั้ง


หลังจากตกรอบฟุตบอลโลก เบ็คแฮมประกาศลาออกจากตำแหน่งกัปตันทีมชาติอังกฤษ เพื่อเปิดทางให้รุ่นน้องคนอื่นเข้ามารับหน้าที่นี้แทน
ปัจจุบัน เบ็คแฮมได้กลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง ภายใต้การคุมทีมของคาเปลโล่ ซึ่งกำลังทำศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก อยู่ในขณะนี้



ชีวิตส่วนตัว

เบ็คแฮมแต่งงานกับ วิคตอเรีย อดัมส์ นักร้องสาวของวงสไปซ์เกิลส์ ฉายา "Posh Spice" ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนอย่างมาก ทั้งคู่ถูกเรียกจากสื่อว่า "Posh and Becks" และชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วไป


ครอบครัวเบ็คแฮมมีลูกชาย 3 คน คือ บรุคลิน โจเซฟ เบ็คแฮม (เกิด 1999), โรมีโอ เจมส์ เบ็คแฮม (เกิด 2002) และครูซ เดวิด เบ็คแฮม (เกิด 2005)

ที่มา:www.sport-idol.com