มูอัมมาร์ มูฮัมมัด อัล-กัดดาฟี
เป็นผู้นำประเทศลิเบียโดยพฤตินัยในปัจจุบัน หลังจากการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2512 เขาได้รับการขนานนามในเอกสารทางการและสื่อของรัฐว่า "ผู้ชี้นำการมหาปฏิวัติวันที่ 1 กันยายน แห่งมหาสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาชนอาหรับลิเบีย" ("Guide of the First of September Great Revolution of the Socialist People's Libyan Arab Jamahiriya") หรือ "ภราดาผู้นำและผู้ชี้ทางแห่งการปฏิวัติ" ("Brotherly Leader and Guide of the Revolution") นับตั้งแต่การลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของตนเองในปี พ.ศ. 2515 ปัจจุบันกัดดาฟีเป็นผู้นำประเทศที่ไม่ใช่กษัตริย์ที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุดในโลกหลังการเสียชีวิตของนายโอมาร์ บองโก ประธานาธิบดีแห่งประเทศกาบองในปี พ.ศ. 2553 และยังเป็นผู้นำลิเบียที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ลิเบียตกเป็นมณฑลหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมันเมื่อ พ.ศ. 2094
ลิเบีย เป็นประเทศที่ปกครองอยู่ในรูปแบบของอัตตาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบ มีความเด็ดขาดทางการเมืองและมีกัดดาฟี่เป็นผู้นำ ประวัติชีวิตของกัดดาฟีสอดคล้องกับประวัติศาสตร์ของลิเบียความเป็นมาของลิเบียยุคใหม่ก็คือความเป็นมาของกัดดาฟี เขามีพ่อเป็นชาวอาหรับเผ่าเบดูอิน ตระกูลของเขานับตั้งแต่ปู่เคยต่อสู้กับทหารอิตาเลียนที่เข้ามายึดครองลิเบียอย่างกล้าหาญ ตัวตนของเขาจึงสืบสายเลือดชาตินิยมอาหรับอย่างแท้จริง
กัดดาฟีมีความ สนใจทางการเมืองมาตั้งแต่เด็ก เขาเคยเดินขบวนนัดหยุดเรียนจนถูกไล่ออกจากโรงเรียน และต้องจ้างครูมาสอนที่บ้านแทน และเมื่ออายุ 19 ปีก็สามารถที่จะสอบเข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยที่เบงกาซี เมื่อเป็นนักเรียนนายร้อยความคิดเรื่องชาตินิยมอาหรับของเขาก็ถูกเผยแพร่แก่เพื่อนนายทหารด้วยกัน เริ่มมีการจัดตั้งขบวนการนายทหารเสรีในวัยหนุ่มเพื่อปฏิวัติโค่นราชบัลลังก์ฟารุคที่ปกครองลิเบียในขณะนั้น

หลังจากได้ เป็นนายทหารในกองทัพบก เขาก็เริ่มปฏิบัติการลับใต้ดินโดยการติดต่อกับเพื่อนนายทหารวัยหนุ่ม เพื่อร่วมวางแผนปฏิวัติ โดยเพื่อนนายทหารและตัวกัดดาฟีเองล้วนใช้ชีวิตมัธยัสถ์อดออม เคร่งศาสนาเยี่ยงมุสลิมที่ดี ความจริงลิเบียเป็นขุมทรัพย์ที่ถูกโลกตะวันตกค้นพบในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งกลายแหล่งดึงดูดชาติ
ตะวันตก ได้มีการค้นพบบ่อน้ำมัน ซึ่งเป็นขุมทรัพย์ที่ทำให้ชั้นปกครองของลิเบียร่ำรวยมหาศาล บริษัทต่างประเทศเข้ามาขอสัมปทานน้ำมันกอบโกยผลประโยชน์กันอย่างเต็มที่ ความมั่งคั่งของชนชั้นปกครองกลับตรงกันข้ามกับความอดอยากยากจนของพลเมืองลิเบีย ทั้งหมดเป็นแรงดลใจให้กัดดาฟีและคณะนายทหารของเขาไม่อาจจะทนรอได้อีกต่อไป
วันที่ 1 กันยายน ปี ค.ศ.1969 ขณะที่กษัตริย์ไอดริสเสด็จออกไปนอกประเทศ นายทหารผู้ใหญ่ของกองทัพบกได้เชิญนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มากินเลี้ยงกันเป็นการใหญ่ ดึกคืนนั้นคณะปฏิวัติเคลื่อนกำลังเข้าจู่โจมจับกุมตัวนายทหารและนายตำรวจเหล่านั้น จากนั้นก็แยกย้ายกันเข้ายึดเมืองตริโปลีและเบงกาซี โดยใช้รถถังและรถเกาะเข้ายึดสถานีวิทยุ ที่ทำการไปรษณีย์ และสถานที่สำคัญ ตลอดจนค่ายทหารที่อาเซียและพระราชวังด้วย
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมากองทัพบกและตำรวจก็อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาการของกัดดาฟี เพื่อสะดวกแก่การบังคับบัญชาของเขา จึงได้เลื่อนยศตนเองเป็นนายพันเอก และดำรงตำแหน่งประมุขสูงสุดของสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาชนอาหรับลิเบีย และเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด รวมทั้งตำแหน่งประธานสภาปฏิวัติด้วย สิ่งแรกที่คณะปฏิวัติดำเนินการก็คือไม่ยินยอมให้สหรัฐฯ และอังกฤษตั้งฐานทัพในลิเบียอีกต่อไป มหาอำนาจทั้งสองจึงต้องถอนกำลังออกทั้งหมด และภายหลังการถอนทหารของมหาอำนากัดดาฟีก็ได้ดำเนินนโยบายขึ้นราคาค่าการจัด เก็บน้ำมันขึ้นมาอีก 120% จากนั้นก็ให้โอนมาเป็นของรัฐทั้งหมด ยังผลให้ลิเบียเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดประเทศหนึ่งในตะวันออกกลาง
เป็นประเทศที่ ถือได้ว่าร่ำรวยที่สุดบนพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างแอฟริกาตอนเหนือกับตะวันออก กลาง มีรายได้ประชากรต่อหัวสูงที่สุดและมีทรัพยากรธรรมชาติมากมายทั้ง น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และแร่ยิปซั่ม ที่สามารถส่งออกไปขายได้อีกหลายสิบปี ประเทศเพื่อนบ้านของลิเบีย เช่น อียิปต์ ตูนีเซีย และโมร็อกโก ได้ส่งคนไปทำงานในลิเบียเป็นจำนวนหลายแสนคน
แต่ด้วยความ เด็ดขาดของนโยบาย ลิเบียได้ถูกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติคว่ำบาตรในฐานะที่มีส่วนร่วม กับขบวนการก่อการร้าย เป็นอุปสรรคต่อการค้าและความร่วมมือกับต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ทางการลิเบียยินยอมมอบตัวผู้ต้องสงสัยในคดีระเบิดเครื่องบิน Pan Am เหนือเมือง Lockerbie ในสกอตแลนด์ ลิเบียก็เริ่มได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตามกิจการที่สำคัญ เช่นกิจการน้ำมัน ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของกัดดาฟี จนถึงวันนี้เมื่อรู้ตัวว่าไม่มีทางที่จะโค่นกัดดาฟีลงได้ มหาอำนาจชาติตะวันตกจึงเปลี่ยนนโยบายหันมาพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ถึงแม้ว่าจะมีความพยายามของโลกตะวันตกที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับกัดดาฟี ลิเบียก็ยังคงเป็นลิเบีย ความแข็งกร้าวและ เด็ดขาดก็ยังคงอยู่
เมื่อรัฐบาลลิเบียได้จับกุมแพทย์และพยาบาลต่างชาติ 6 คน ส่งตัวดำเนินคดีในข้อหาทำให้เด็กหลายร้อยคนติดเชื้อเอชไอวี โดยที่ศาลสูงของลิเบียได้ตัดสินประหารชีวิตทั้งหมด ได้สร้างความไม่พอใจให้กับสหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก นับว่าเป็นความเด็ดขาดที่ท้าทายประชาคมโลกอีกครั้งของลิเบีย
ที่มา:www.thaimuslim.com
No comments:
Post a Comment